ไต้หวันไดอารี่ ตอนที่ 4 : Don’t let the rain stop you

โบกมือบ๊ายบายกิ๊ฟเสร็จก็ต้องรีบเอามือกางร่มเพราะฝนเริ่มลงเม็ด เหลือเราคนเดียวนับจากนี้ไปต้องลุยเดี่ยวจริงๆ แล้ว เราเดินย้อนกลับไปสถานีโดยยังไม่รู้ตัวเองว่าจะไปที่ไหนต่อเพราะไม่ได้คิดไว้ เลยกะจะไปเดินเล่นไม่ใกล้ไม่ไกลจากโฮสเทล ละแวกนั้นจะมีตลาดกลางคืนซือต้า (Shida Night Market) เลยไปอีกสถานีเป็นย่านกงกวน (Gongguan) สองที่นี้เป็นแหล่งช้อปปิ้งที่อยู่ใกล้มหาลัย วัยรุ่นตรึมแน่นอน

เท่าที่อ่านจากรีวิวเที่ยวของคนไทย ของฝากอันดับหนึ่งเมื่อไปไต้หวันกลับไม่ใช่อะไรจีนๆ เป็นรองเท้าจากแดนอาทิตย์อุทัยชื่อว่า Onitsuka Tiger ซะงั้น แหล่งที่รีวิวแนะนำเป็นที่กงกวนนี่แหละ ถูกกว่าที่อื่น คิดเป็นเงินไทยก็ประมาณสองพันปลายๆ ถูกมากเมื่อเทียบกับราคาในไทยสี่ห้าพัน หากใครชอบรองเท้ากีฬา เสื้อผ้าอุปกรณ์กีฬาต่างๆ กงกวนถือเป็นแหล่งรวมสินค้าพวกนี้ โดยเฉพาะรองเท้าบาส หันซ้ายหันขวาก็เจอ คนไต้หวันคลั่งบาสเก็ตบอลสุดๆ ช็อป Nike, Adidas มีให้เลือกซื้อเพียบ เอาแค่ช็อป Adidas ยี่ห้อเดียวในกงกวนก็มีอยู่นับสิบร้านเข้าให้แล้ว ยังมีร้านเสื้อผ้าวัยรุ่น ร้าน Daiso ทุกอย่างร้อยเยนก็มีด้วย 39NT ประมาณ 40 บาทเอง เดินทางง่าย นั่งรถไฟใต้ดินสายสีเขียวลงสถานี Gongguan Station ได้เลย

ที่กงกวนมีร้านบุฟเฟ่ต์ชาบูด้วย คนรอคิวเยอะมาก ราคาหัวละ 459NT ก็พอๆ กับบ้านเรา แต่ของหวานเป็นไอติม Hagen-Daz และปิดตีสี่! เห็นแล้วน้ำลายสอแต่กินคนเดียวคงไม่คุ้ม เดินหาของกินข้างทางดีกว่า เจอร้านขนมไทยากิ (ขนมครกญี่ปุ่น) มีไส้ครีม ไส้ถั่วแดง ชิ้นละแค่ 10NT แต่อัดไส้ให้เยอะแบบไม่กลัวเจ๊งเลยเข้าไปต่อคิว รู้ว่าชาวไต้หวันจริงจังเรื่องเข้าคิวมากแต่พอถึงคิวเราทำไมคนขายไม่ทำให้ สื่อสารก็ไม่ได้ได้แต่ทำหน้างงเอามือชี้ๆ หันไปดูข้างหลังปรากฎว่ามีคนเข้าแถวรออีกเพียบเลย แต่เค้าเว้นที่ว่างบนฟุตบาธให้คนเดินผ่าน ทำไมประชากรเค้ามีระเบียบสุดยอดขนาดนี้ ตกใจมาก เดินหนีแทบไม่ทัน สรุปว่าไม่ได้กิน 555+

เผ่นจากกงกวนแผนของเราคือไปซือต้าเย่ซื่อ ระยะทางจากกงกวนแค่ 1 สถานีเดินเอาน่าจะไหว จะได้ดูตึกรามบ้านช่องไปด้วย ถ้านั่งรถใต้ดินมาต้องลงสถานี Taipower Building ระหว่างเดินเพิ่งนึกได้ว่าตั้งแต่มาถึงที่นี่ยังไม่ได้กินชานมไข่มุกเลย ใครมาไต้หวันแล้วไม่ได้กินชานมไข่มุกถือว่ามาไม่ถึง แยกหน้ามีร้าน 50lan ที่เป็นแฟรนไชส์มีขายทั่วเมืองพอดี พนักงานพูดอังกฤษคล่องด้วยสบายเลย ขอจัดซะหนึ่ง เป็นสิ่งยืนยันว่าข้าได้มาถึงแผ่นดินไต้หวันแล้ว วะฮ่าฮ่า ชาไข่มุกที่นี่มีออปชั่นหลากหลาย เช่น มีขนาดมุกให้เลือก เลือกขนาดแก้ว ใส่/ไม่ใส่น้ำแข็ง เลือกระดับความหวานตามต้องการ เราสั่งชานมไข่มุกแก้วกลาง ไข่มุกเม็ดใหญ่ หวานน้อย ไม่ใส่น้ำแข็ง (มันหนาว) ค่าเสียหาย 45NT ถูกกว่าแถวสยามอีกนะ รสชาติก็คล้ายๆ กัน อาจจะเจ้มจ้นกว่านิดนึงเพราะไม่ได้ใส่น้ำแข็งมั้ง ก็อร่อยดี :)


เดินต่อไม่กี่ก้าวก็เจอป้ายบอกทางตลาดกลางคืนซือต้าเลี้ยวขวา เลี้ยวเข้าไปเจอตรอกเล็กๆ สองข้างทางเป็นร้านเสื้อผ้าวัยรุ่นเก๋ๆ สมกับที่อยู่ติดรั้ว ม.ซือต้า (นักศึกษาเพียบ ❤) ด้านของกินที่นี่ก็ใช่ย่อย ตลาดอื่นส่วนมากจะเป็นอาหารท้องถิ่น แต่ที่ซือต้าจะมีให้เลือกหลายสไตล์หลายสัญชาติ มีอาหารญี่ปุ่นเทปันยากิ บุฟเฟ่ต์หมูเกาหลี อาหารไทยก็มี อยากกินเครปแต่คนเยอะมาก พนักงานกดบัตรคิวแทบไม่ทันขอฝากไว้ก่อน ใกล้ที่พักแค่นี้เอง แล้วจะมาชำระแค้นทีหลัง

ถึงโฮสเทลชั้นวางรองเท้าข้างประตูมีที่ว่างพอสมควร มีคนทยอยกลับวันนี้หลายคน ห้องรวม 7 เตียงเหลือสมาชิกแค่ 3-4 คน เราออกมาดูทีวีข้างนอกเพราะยังไม่ง่วงแป๊บนึงสาวแว่นไต้หวันชื่อจิล คนเดียวกับตอนแรกเพิ่งกลับมาขอนั่งโซฟาพักเหนื่อยดูทีวีด้วย ผ่านมาสองวันไม่ค่อยได้คุยกันเท่าไหร่แต่ท่าทางคุยด้วยสนุก ครั้งแรกที่พบกันแนะนำตัวว่าเป็นคนไทยเธอตอบกลับมาว่า “ซาหวักลีค่า” ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าความสัมพันธ์ไต้หวัน-ไทย ใกล้ชิดกัน หรือว่ามีนักร้องไทยไปดังในไต้หวันบ่อย แต่รับรองว่าอาจิลคนนี้ไม่ใช่คนเดียวที่พูดสวัสดีภาษาไทยได้แน่ๆ

นอกจากจะพูดคำว่าสวัสดีได้ชัดกว่านักร้องเกาหลี จิลดูท่าทางสนใจเมืองไทยมากๆ ถามถึงสถานการณ์น้ำท่วมที่เพิ่งผ่านมาด้วย เท่าที่ถามตอบไปหลายข้อรู้สึกว่าจิลเป็นผู้หญิงที่โลกสวยมากๆ จิลถามกลับว่าพรุ่งนี้วางแผนเที่ยวไหนบ้าง เรากะว่าจะออกไปทำความรู้จักไทเปเพราะตั้งแต่มายังไม่ได้สัมผัสความเป็นไทเปเลย เหมือนเที่ยวกรุงเทพแต่ยังไม่ได้เที่ยววัดพระแก้ว แต่ยังไม่ค่อยแน่ใจเพราะพยากรณ์อากาศพรุ่งนี้ฝนตกหนักทั้งวัน สาวแว่นโลกสวยมาพูดสร้างแรงบันดาลใจสั้นๆ ว่า

“don’t let the rain stop you.” ก่อนจะหันไปดูทีวีพร้อมตักพุดดิ้งเข้าปากต่อไป…

พยากรณ์อากาศที่นี่แม่นเหมือนกดรีโมตสั่งให้ฝนตกเอง เราออกเดินทางตั้งแต่เช้า 9 โมงกว่าด้วยความมุ่งมั่นไม่หวั่นเกรงต่อสายฝนตามที่จิลบอกไว้ว่าอย่าไปกลัว หากไปเที่ยวปักกิ่งต้องไปคารวะท่านประธานเหมาเจ๋อตุง สาธารณรัฐจีนหรือที่เรียกติดปากว่าไต้หวันก็มีนายพลเจียงไคเช็คเป็นผู้ก่อตั้ง สถานที่แรกของวันนี้เราจะย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นของดินแดนแห่งนี้คืออนุสรณ์สถานเจียงไคเช็คนั่นเอง ถึงแม้ไต้หวันจะเป็นประเทศใหม่ มีประวัติศาสตร์ไม่ยาวนานเหมือนจีนแผ่นดินใหญ่ แต่การท่องเที่ยวไปพร้อมกับเรียนรู้ความเป็นมาของท้องถิ่นนั้นๆ เป็นสิ่งที่เราไม่ยอมพลาดไม่ว่าจะไปที่แห่งไหนนะ :)

อนุสรณ์สถานเจียงไคเช็ค (Chiang Kai-Shek Memorial Hall) อยู่ห่างไปแค่สถานีเดียวเอง การเดินทางโดย MRT ลงสถานีชื่อเดียวกับสถานที่ได้เลย ในสถานีด้วยใช้กำแพงหินอ่อนสลักชื่อสถานีด้วยอักษรทอง อุโมงค์ทางออกตกแต่งสวยงามสมฐานะอนุสรณ์สถานผู้ก่อตั้งประเทศ ก่อนถึงทางออกสถานีเจอได้ยินภาษาไทย หันไปดูก็เจอคนไทย 3-4 คนมาเที่ยว ถ้าไม่นับกิ๊ฟเราก็เพิ่งเจอคนไทยนี่แหละ แต่เราไม่ได้ทักทายอะไรทำหน้าเกาหลีแล้วก็เดินต่อไป

ฝนที่เทลงมาไม่ขาดสายทำให้การท่องเที่ยวของหนุ่มไทยตัวคนเดียวเป็นอะไรที่ยากลำบากมาก มือนึงถือกล้องอีกมือต้องถือร่มระวังไม่ให้กล้องเปียก ช็อตไหนจะซูมต้องเอาจั๊กกะแร้หนีบร่มถึงจะซูมได้ อนุสรณ์สถานเจียงไคเช็คมีพื้นที่กว้างขวางมองไปยังเมื่อยสายตา แม้ไม่ยิ่งใหญ่เทียบเท่าจัตุรัสเทียนอันเหมินแต่กว่าจะเดินถึงอาคารที่มีรูปปั้นนายพลเจียงไคเช็คก็เล่นเอาเท้าเปียกไปถึงซอกนิ้ว

ภายในอาคารอนุสรณ์สถานมีรูปปั้นท่านนายพลเจียงไคเช็คขนาดใหญ่ ด้านหลังมีถ้อยคำแกะสลักภาษาจีนน่าจะหมายความถึงเสรีภาพ ประชาธิปไตย (เดา) บนเพดานมีสัญลักษณ์พระอาทิตย์เดียวกับธงชาติไต้หวัน มี ท.ทหารองครักษ์อดทนยืนนิ่งเป็นหุ่นขี้ผึ้งเฝ้าหน้าประตูแบบเดียวกับองครักษ์ท่านประธานเหมา ทหารที่มาทำหน้าที่นี้อดทนมากไม่รู้ฝึกมายังไงแม้จะมีสาวๆ แอ๊บแบ๊วตะเบ๊ะถ่ายรูปด้วยก็ยังยืนสงบนิ่งได้ราวกับไร้ลมหายใจ ไม่แม้กระทั่งกระพริบตา! หรือว่ามีกฎทหารคนไหนกระดุกกระดิกจะโดนตัดหัวเสียบประจานก็ไม่รู้ หากแสบตาขึ้นมาจะมีรุ่นพี่เอาผ้ามาเช็ดให้ ไฮไลท์เด็ดอยู่ตรงที่ทุกชั่วโมงจะมีพิธีการผลัดเวรยาม มองหาคนไทยกลุ่มนั้นไม่เจอซะแล้ว ไหนๆ ก็มาแล้วถ้าพลาดชมทหารผลัดเวรน่าเสียดายนะ

ทหารยามผลัดเวรไปแล้วก็ได้เวลาเดินทางไปยังที่ต่อไป รอบๆ อนุสรณ์สถานเจียงไคเช็คมีสวนสวยสะดุดตาจนแวะเดินเล่นจนได้ มาเที่ยวช่วงมีนาหวังว่าจะได้เห็นดอกซากุระ แล้วก็ไม่ผิดหวังจริงๆ :D

สถานที่ท่่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ที่จะไปต่อดูจะไม่เกี่ยวข้องกับความเป็นมาของไต้หวันเลย เพราะเรากำลังจะไปพิพิธภัณฑ์กู้กง (National Palace Museum) ชื่อดูคล้ายพระราชวังต้องห้ามในปักกิ่งเพราะของล้ำค่าที่จัดแสดงขนมาจากแผ่นดินใหญ่นั่นเอง แล้วทำไมไม่ไปดูที่ปักกิ่งก็เพราะพิพิธภัณฑ์กู้กงแห่งนี้รวบรวมงานศิลปะ หลักฐานสำคัญในยุคสมัยราชวงศ์จีนไว้มากที่สุดในโลกกว่าหกแสนชิ้น วิธีเดินทางง่ายสุดคือจาก MRT Shilin Station เดินมารอรถเมล์หน้าร้านวัตสัน สังเกตป้ายหน้ารถถ้าบอกว่าไป National Palace Museum โดดขึ้นได้เลย

ภาพวาด งานเขียน รูปปั้น งานแกะสลัก ข้าวของเครื่องใช้ของฮ่องเต้แต่ละอย่างสวยงามยิ่งใหญ่จนแทบจะกระชากลมหายใจเมื่อได้มอง และไม่ใช่ว่าจัดแสดงข้าวของอายุหลายร้อยปีจะต้องดูแบบเก่าๆ มิวเซียมแห่งนี้นำเสนอเทคโนโลยีสมัยใหม่ช่วยเพิ่มชีวิตชีวาให้แก่ของล้ำค่าเหล่านั้นด้วย เช่นภาพวาดผืนผ้าใบบอกเล่าวิถีชีวิตคนในสมัยนั้นก็ถูกทำเป็นภาพเคลื่อนไหวราวกับมีชีวิต เรียกเสียงอุทานสุโค่ยๆ จากกรุ๊ปทัวร์ญี่ปุ่นที่ยกพวกมากันแน่อนฮอลล์ไม่ขาดปาก แต่เค้าห้ามถ่ายภาพเลยได้เพียงบันทึกลงในไดรฟ์ความทรงจำ

จินตนาการว่าตัวเองเป็นท่านอ๋องนั่งเกี้ยวในสมัยราชวงศ์ชิงจบแล้วถึงเวลากลับสู่ยุคปัจจุบันโดยการขึ้นรถเมล์กลับไปที่สถานีซื่อหลิน เที่ยวเพลินจนเกือบห้าโมงยังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เช้า หน้าสถานีเป็นช้อปปิ้งสตรีทเล็กๆ มีพื้่นที่ให้นั่งพัก ซื้อไก่ทอดยักษ์มากิน (อีกแล้ว) คราวนี้เป็นร้าน 2 Peck ซึ่งเราว่าอร่อยได้ไม่ต้องเข้าคิวง้อ Hot Star สาขาก็มีมากกว่า แป้งอาจหนากรอบไม่เท่าแต่ไก่ทอดรสเผ็ดกลิ่นเครื่องเทศถูกปากเรามากกว่า 50NT ชิ้นเดียวอิ่มเหมือนเดิม ถ้ารวมแมคไปด้วยเรากินไก่ทอดไปสามมื้อแล้ว

ท้องอิ่มเรียบร้อยเตรียมออกเดินทางต่อ เรายื่นขวดน้ำส้มที่ดื่มหมดแล้วให้ป้าที่กำลังเก็บขวดพลาสติก บ้านเมืองก้าวหน้าแค่ไหนย่อมทิ้งประชากรที่ปรับตัวตามไม่ทันเสมอ บ้านเราก็เหมือนกัน แต่ที่นี่แยกถังขยะชัดเจนถือว่าป้าโชคดีกว่าเพื่อนร่วมอาชีพในเมืองไทยเยอะครับ

ปลายทางรถไฟฟ้าสายสีแดงคือสถานีต้านสุ่ย (Danshui) เป็นจุดหมายต่อไป รถไฟวิ่งห่างจากตึกสูงในเมืองเรื่อยๆ จากรางลอยฟ้าก็กลับลงมาวิ่งบนพื้นขนานไปตามริมแม่น้ำ ยามแปลกที่แปลกถิ่นทิวทัศน์ข้างทางทำให้เราตื่นเต้นเสมอ ถึงสถานีปลายทางประตูรถเปิดบอกได้คำเดียวว่าหนาวสุดขั้ว มองจากบนสถานีเห็นแม่น้ำกว้างใหญ่ มีฉากหลังเป็นภูเขาที่มีหมอกปกคลุมเหมือนภูเขาหัวหงอก อาคารสถานีต้านสุ่ยใช้อิฐแดงเป็นหลักและยังออกแบบได้สวยจนอยากได้สถานี BTS บ้านเรามีดีไซน์โดดเด่นต่างกันออกไปเหมือนบ้านเค้าบ้างจัง

ต้านสุ่ยเป็นเมืองท่าติดชายทะเล มีสวนขนาดใหญ่ริมแม่น้ำให้เดินเล่นหรือพักผ่อนทำตัวชิลล์แม้วันนี้บรรยากาศจะมาคุเกินไปหน่อย มีเลนจักรยานลัดเลาะไปตามแม่น้ำและมีถนนคนเดินให้ซื้อของฝาก ของฝากเลื่องชื่อของที่นี่คือ “ไข่เหล็ก” (Iron egg) เป็นไข่ต้มสมุนไพรเครื่องเทศอีท่าไหนไม่รู้จนหดตัวเป็นลูกแข็งๆ มองเผินๆ นึกว่าไข่มุกที่ใส่ชานม รสออกเผ็ดฉุนๆ บางคนกินเผ็ดไม่ได้ถึงกับแสบปากแสบจมูก แต่ซื้อมาฝากเพื่อนหลายคนก็บอกอร่อยกันนะ

เดินไปไม่ไกลก็เจอร้านไอติมซอฟท์ครีมตั้งชื่อเลียนแบบตึก 101 นั่นคือซอฟต์ครีมสูงปรี๊ดดดดด เหมือนตึกไทเป 101 ราคาแค่ 20NT ถูกเหมือนขี้ ต่อให้หนาวตายตรงนี้ก็ต้องลองแล้วล่ะ แต่พอลิ้นสัมผัสจริงๆ แล้วมันไม่ใช่ไอติมซอฟท์ครีมเนียนนุ่มแพงๆ เหมือนที่เคยกินอ่ะ เหมือนเอาน้ำหวานมาปั่นกับน้ำแข็งมากกว่า รสชาติตามราคา แต่อย่างว่าถ้าเป็นซอฟท์ครีมนมตามปกติคงจะใส่โคนจนสูงแข่งกะตึกไทเป 101 ไม่ได้อ่ะนะ แต่กว่าจะกัดฟันกินจนหมดท่ามกลางอากาศองศาเลขตัวเดียวก็เล่นเอาอุณหภูมิลำไส้หวุดหวิดจะลดลงต่ำกว่าจุดเยือกแข็งเหมือนกันนะ

จากสถานีต้านสุ่ยเดินตรงตามริมแม่น้ำไปเรื่อยๆ จะเจอปากอ่าว มีสะพานสวยบรรยากาศโรแมนติกที่ถูกขนานนามว่า Lover’s Bridge ให้ขึ้นไปถ่ายรูป ไม่รู้อะไรดลใจทำให้ขี้เกียจหยิบแผนที่ออกมาดูตั้งใจว่าจะเดินชมนกชมไม้ไปเรื่อยๆ อากาศหนาวคงไม่เหนื่อยเท่าไหร่เพื่อนร่วมทางเยอะแยะ เดินไปเดินมาเพื่อนร่วมทางหาย แสงอาทิตย์ก็หายข้างทางมืดมิด บางช่วงปราศจากสิ่งก่อสร้างกลายเป็นทางเปลี่ยว นักเดินทางตัวคนเดียวชักจะเหมือนคนเร่ร่อนขึ้นเรื่อยๆ แต่เราไม่ยอมแพ้ มีหลักกิโลบนเลนจักรยานบอกระยะเป็นกำลังใจทุกๆ 100 เมตร แต่เราก็ไม่รู้ว่าจุดหมายมันอยู่หลักที่เท่าไหร่ เดินให้ถึงแม่งไปเลย จะกี่กิโลค่อยมาดูกัน

เดินจนความเมื่อยล้าลามจากฝ่าเท้ามาถึงต้นคอมองเห็นประภาคารอยู่เบื้องหน้าแสดงว่าเรามาถึงชายทะเลแล้ว แต่สะพานยังอยู่อีกไกล ไม่ไปแม่งดื้อๆ เหนื่อย เมื่อยตีน เรายืนเหม่อมองสะพานนึกในใจว่ากูจะเดินมาทำไมวะ รถเมล์กลับต้านสุ่ยมาถึงป้ายเราหย่อนก้นลงนั่งทันที ถึงต้านสุ่ยเรารีบวิ่งหาหลักกิโลทันทีอยากรู้ว่ากูเสียพลังงานในการเดินไปเท่าไหร่ แท้จริงแค่ 3 กิโลเมตรกว่าๆ ไม่ใกล้ไม่ไกล หรือว่าการเดินลำพังคนเดียวไม่มีเพื่อนคุยดูเหมือนไร้จุดหมายยังไงก็ไม่รู้้

กลับที่พักด้วยอาการปวดเท้าสุดขีด (แต่ขากลับเราแอบแวะหาข้าวกินตลาดกลางคืนซื่อหลินอยู่นะ เป็นพลังงานเฮือกสุดท้าย) อาบน้ำนอนเร็วแค่เที่ยงคืนกว่า วันนี้เหนื่อยมาก ก่อนจะหลับตาขอสื่อสารกับเพื่อนที่เมืองไทยซะหน่อย อยากให้รู้ว่าเราสบายดี กดมือถือพิมพ์ลง facebook ด้วยประโยคสั้นๆ

“Don’t let the rain stop you”

One response to “ไต้หวันไดอารี่ ตอนที่ 4 : Don’t let the rain stop you

  1. ไก่ชิ้นใหญ่มาก ไอติมยาวๆเราเคยกินที่ไทยที่เสารีอะ ไม่อร่อยเลย

Leave a reply to toeysk Cancel reply